1.2 ปัญหาที่สำคัญของการออกแบบเว็บ
ปัจจุบันการสร้างเว็บเพจสามารถทำได้ง่าย เพราะมีโปรแกรมอำนวยความสะดวกในการสร้างเว็บมากมาย และยังมีโปรแกรมเสริม (Plug-in) ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแสดงผลด้านมัลติมีเดียของเว็บบราวเซอร์ เช่น โปรแกรม Flash Media Player อย่างไรก็ตาม การออกแบบเว็บที่ดีไม่ได้มุ่งเน้นคุณสมบัติด้านความสวยงาม การใช้ลูกเล่นหรือเทคนิคนำเสนอด้านกราฟฟิกที่แปลกตาเพียงอย่างเดียว ดังที่ผู้ออกแบบเว็บในปัจจุบันพยายามแข่งขันกัน แต่ต้องคำนึงถึงความสามารถในการใช้งาน (Usability) เครื่องมือภายในเว็บเพจของผู้ใช้ด้วย (อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อถัดไป) เพราะถึงแม้เทคนิคการนำเสนอที่เพิ่มขึ้นมา จะช่วยสร้างความสวยงามบนหน้าเว็บได้ก็ตาม แต่อาจสร้างปัญหาการใช้งานด้านอื่นๆ อีกหลายประการเช่นกัน นอกจากนี้การให้ความสนใจกับรูปแบบนำเสนอมากเกินไป อาจทำให้ผู้ออกแบบมองข้ามความสำคัญขององค์ประกอบด้านเนื้อหาข้อมูลบนหน้าเว็บที่ควรมี จนกลายเป็นปัญหาต่างๆ ในระหว่างการใช้งาน ทั้งนี้ สามารถจำแนกระดับความรุนแรงของปัญหาที่เกิดจากการออกแบบเว็บออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
ปัญหาที่มีระดับความรุนแรงสูง (High Severity Problems) เป็นปัญหาที่ทำให้ผู้ชมเว็บไซต์ขาดความเชื่อมั่นต่อบริษัท และผลักดันให้เลิกสนใจในผลิตภัณฑ์ของบริษัทด้วยการออกแบบจากเว็บไซต์นั้น ทำให้บริษัทต้องสูญเสียรายได้ไป ปัญหาลักษณะนี้มักจะเกิดขึ้นกับธุรกิจขนาดใหญ่ หรือธุรกิจที่จำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า เช่น ธนาคาร ซึ่งต้องให้ข้อมูลกับลูกค้าเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและกล้าที่จะนำเงินมาลงทุนด้วย ดังนั้นถ้าเว็บไซต์ของธนาคารนำเสนอข้อมูลในด้านต่างๆ ไม่ครบถ้วน เช่น ฐานะทางการเงิน การก่อตั้ง สาขาที่ให้บริการ เป็นต้น อาจทำให้ลูกค้าขาดความเชื่อมั่นและยกเลิกการตัดสินใจที่จะร่วมลงทุนกับธนาคารได้
ปัญหาที่มีระดับความรุนแรงปานกลาง (medium Severity Problems) เป็นปัญหาที่รบกวนการทำงานของผู้ชมเว็บไซต์บางคน อาจเกิดจากผู้ใช้ไม่แน่ใจ สับสน กับวิธีการใช้งานหรือข้อมูลของสินค้า ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้ชมเว็บไซต์ไม่สนใจในผลิตภัณฑ์ของบริษัทและออกจากเว็บไซต์นั้น ส่งผลให้บริษัทสูญเสียลูกค้าเช่นเดียวกันกับกรณีแรก แต่มีระดับความรุนแรงน้อยกว่า
ปัญหาที่มีระดับความรุนแรงต่ำ (Low Severity Problems) เป็นปัญหาเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกของเว็บเพจที่ไม่เกี่ยวข้องกับความบกพร่องของข้อมูล เช่น เว็บเพจนั้นมีข้อมูลครบถ้วน เพียงแต่การจักวางข้อมูลอาจไม่เป็นระเบียบ หรือขาดความสวยงาม เป็นต้น ปัญหาลักษณะนี้มักจะไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานของผู้ชมเว็บไซต์มากนัก และไม่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ชมเว็บไซต์เลิกสนใจผลิตภัณฑ์ของบริษัท
ตัวอย่างปัญหาที่เกิดจากการออกแบบเว็บที่สำคัญมีดังนี้
s ผู้ใช้ไม่สามารค้นหาข้อมูล
ผู้ใช้ไม่สามารถค้นหาข้อมูลได้ เกิดจากสาเหตุสำคัญหลายประการ ได้แก่ การเก็บรวบรวมข้อมูลสินค้าไม่ครบถ้วน การไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลสินค้า (ป้องกันการแข่งขันทางธุรกิจ) การจัดวางตำแหย่งข้อมูลที่ไม่เหมาะสม การเปลี่ยนรูปแบบอินเตอร์เฟสของหน้าเว็บเพจย่อยให้แตกต่างกัน ซึ่งอาจสร้างความสับสนให้กับผู้ใช้ว่า ขณะนี้ยังอยู่ในเว็บไซต์เดิมหรือไม่ ลักษณะเหล่านี้จะทำให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลไม่พบ และเป็นสาเหตุผู้ใช้ออกจากหน้าเว็บนั้น
s กราฟฟิกที่รบกวนการทำงาน
การออกแบบเว็บโดยใช้กราฟฟิกอาจต้องใช้พื้นที่ข้อมูลมากขึ้น ยิ่งมีไฟล์ภาพกราฟฟิกมากเท่าใด ขนาดพื้นที่ข้อมูลก็ยิ่งเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้การรับส่งข้อมูลต้องใช้เวลานานกว่าจะดาวน์โหลดข้อมูลเสร็จ ซึ่งสร้างความเบื่อหน่ายให้กับผู้ใช้เป็นอย่างมาก และกราฟฟิกที่รบกวนการทำงานของผู้ใช้ในที่นี้ยังหมายถึง การสร้างข้อความกระพริบ เสียงประกอบ ภาพเคลื่อนไหว (Animation) บนหน้าเว็บที่มีมากเกินไป ซึ่งผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมให้หยุดการทำงานดังกล่าวได้
s ระบบนำทางขาดประสิทธิภาพ
ระบบนำทาง “(Navigation System)” เป็นหัวใจหลักในการเชื่อมโยงข้อมูลภายในเว็บ และยังเป็นเป้าบอกทางให้ผู้ใช้ไปถึงจุดหมายปลายทางหรือข้อมูลที่ต้องการ ซึ่งถ้าเส้นทางมีความซับซ้อนมาก ป้ายบอกทางแสดงไม่ชัดเจน โอกาสที่ผู้ใช้จะค้นหาข้อมูลพบย่อมมีน้อยด้วย ดังนั้น ผู้ออกแบบจึงควรจัดกลุ่มข้อมูลเพื่อสร้างเส้นทางเชื่อมโยงให้เป็นระบบ และระบุชื่อเว็บเพจหรือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงถึงให้ชัดเจน นอกจากนี้อาจหาเส้นทางเพื่อประหยัดเวลาค้นหาข้อมูลโดยสร้างเครื่องมือนำทางอื่น เช่น เครื่องมือค้นหาข้อมูล (Search Engine) หรือแสดงแผนผังเว็บไซต์ (Site Map) เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจโครงสร้างภายในเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น
s การสร้างหน้าเว็บด้วยเฟรม
การสร้างหน้าเว็บด้วยเฟรม (Frame) เป็นปัญหาการออกแบบเว็บที่มีมานาน คือ ไม่สามารถระบุ URL ของเฟรมย่อย ภายในเฟรมเซ็ตนั้นได้ทั้งหมด ดังนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนเฟรมย่อยภายในหน้าเว็บ เพื่อดูข้อมูลใหม่แล้วหากต้องการกลับมายังหน้าเฟรมย่อยเดิม ด้วยการกดปุ่ม Back จะทำไม่ได้ เพราะชื่อ URL ไม่ถูกต้อง และปัญหาของ URL นี้เอง จึงทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถสร้างบุ้คมาร์ค (Bookmark) หรือเก็บชื่อ URL ของหน้าเว็บนั้น เพื่อเข้ามาเยี่ยมชมภายหลังได้ อย่างไรก็ตามการสร้างหน้าเว็บด้วยเฟรมก็มีข้อดีบางประการ ซึ่งจะได้อธิบายเพิ่มเติมในบทที่ 2
s การเปลี่ยนสถานะของลิงค์
หน้าเว็บจำนวนมากที่ไม่ได้กำหนดให้มีการเปลี่ยนแปลงสถานะของลิงค์เชื่อมโยง ทั้งหน้าเว็บที่ผู้ใช้กำลังเยี่ยมชมอยู่และหน้าเว็บที่ผ่านการเยี่ยมชมแล้ว ซึ่งสถานะของลิงค์เป็นสิ่งที่ผู้ออกแบบไม่ควรมองข้าม เพราะจะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เสียเวลาเยี่ยมชมข้อมูลซ้ำๆ (เมื่อมีลิงค์จำนวนมาก) นอกจากนี้ควรกำหนดสีสถานะเชื่อมโยงของลิงค์ตามแบบมาตรฐานด้วย เพราะผู้ใช้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำความเข้าใจความแตกต่างของลิงค์ที่เปลี่ยนไปจากสีมาตรฐานนั้น
s ใช้ตัวอักษรและการเน้นข้อความที่ไม่เหมาะสม
ตัวอักษรเป็นองค์ประกอบย่อยภายในหน้าเว็บ ที่เป็นพื้นฐานการนำเสนอข้อมูล โดยปัญหาที่เกิดจากการใช้ตัวอักษร คือ การกำหนดขนาดอักษรไม่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น ขนาดตัวอักษรเล็กเกินไปทำให้มองเห็นได้ยาก หรือกำหนดขนาดตัวอักษรไว้คงที่ ผู้ใช้ไม่สามารถปรับเปลี่ยนขนาดได้ เป็นต้น ปัญหาเกี่ยวกับตัวอักษรยังรวมถึงรูปแบบการเน้นข้อความโดยใช้การขีดเส้นใต้ ซึ่งสร้างความสับสนแก่ผู้ใช้ที่อาจเข้าใจผิดว่า เป็นข้อความเชื่อมโยงได้
s การปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย
ทุกครั้งที่ผู้ใช้เข้ามายังหน้าเว็บ นอกจากจะเข้ามาเพื่อค้นหาข้อมูลที่ต้องการโดยเฉพาะแล้ว อาจต้องการเข้ามาอ่านข่าวสารที่มีการปรับปรุงใหม่หรือชมข้อมูลผลิตภัณฑ์สินค้าตัวใหม่ เป็นต้น ดังนั้นผู้ออกแบบจะต้องคอยปรับปรุง (Update) ข้อมูลหน้าบนเว็บทุกครั้ง และแจ้งเตือนการปรับปรุงข่าวสารนั้นเสมอ โดยอาจระบุวันเวลาที่มีการปรับปรุง เพื่อให้ผู้ใช้ทราบว่าข้อมูลได้ถูกต้องปรับปรุงแล้ว
ตัวอย่างปัญหาการออกแบบเว็บที่กล่าวมาข้างต้น เป็นสิ่งที่จะช่วยลดทอนความสามารถในการใช้งานเว็บเพจของผู้ใช้ลงเป็นอย่างมาก และยังเป็นสาเหตุให้ผู้ใช้เลิกเข้ามาเยี่ยมชมหน้าเว็บขององค์กรด้วย นั่นหมายถึง การสูญเสียโอกาสที่จะจำหน่ายสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้น ในระหว่างขั้นตอนการทดสอบการใช้งานเว็บไซต์ที่พัฒนาขึ้นมา ผู้ออกแบบควรนำข้อมูล Feedback ที่เป็นปัญหาต่างๆ กลับมาวิเคราะห์เพื่อวัดระดับความรุนแรงของปัญหา และนำมาแก้ไขให้ถูกต้องก่อนที่ปัญหานั้นจะเกิดเมื่อใช้งานจริง โดยสามารถใช้เกณฑ์การจำแนกระดับของปัญหา 3 เกณฑ์ ดังต่อไปนี้
ความถี่ในการพบปัญหา (Frequency) วัดจากกลุ่มผู้ใช้ที่พบปัญหาว่ามีจำนวนมากเท่าใด ถ้าพบว่าปัญหานี้เกิดกับผู้ใช้ทุกคน นั่นแสดงว่ามีความถี่ในการพบปัญหาสูง ปัญหานั้นจัดอยู่ในระดับความรุนแรงสูง ในทางกลับกันถ้ามีผู้ใช้พบปัญหานี้น้อยราย แสดงว่ามีความถี่ในการพบปัญหาต่ำ ก็จะจัดอยู่ในระดับความรุนแรงปานกลางหรือต่ำ ตามลำดับ
ผลกระทบจากปัญหา (Impact) วัดจากปัญหาที่ผู้ใช้พบว่าส่งผลกระทบให้เกิดสิ่งใดบ้าง โดยเป็นค่าเฉลี่ยระหว่างผลกระทบเล็กน้อยที่รบกวนผู้ใช้งาน จนกระทั่งเป็นผลกระทบต่อการทำงานของผู้ใช้ทำให้ตัดสินใจออกจากเว็บนั้น หากพบว่าค่าเฉลี่ยจากผลกระทบของปัญหาสูง ปัญหานั้นจัดอยู่ในระดับที่มีความรุนแรงสูง แต่ถ้าค่าเฉลี่ยต่ำก็จะจัดอยู่ในระดับความรุนแรงปานกลางหรือต่ำ ซึ่งต้องพิจารณาปัจจัยอื่นควบคู่ด้วย
การคงอยู่ของปัญหา (Persistence) วัดจากปัญหานั้นยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ในบางครั้งการพบปัญหาระหว่างการทำงานอาจเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าผู้ใช้งานกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์บ่อยครั้ง และยังคงเจอปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง การคงอยู่ของปัญหาเช่นนี้จะจัดอยู่ในปัญหาที่มีระดับความรุนแรงสูงทันที
เกณฑ์การพิจารณาระดับความรุนแรงของปัญหาของผู้ใช้งานแต่ละคนอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่ผู้ชมเว็บไซต์พบในขณะนั้น ยกตัวอย่างเช่น ในเว็บไซต์เดียวกันแต่มีผู้ใช้งาน 2 คน ผู้ใช้งานคนที่ 1 ซึ่งเพิ่งเข้ามาใช้งานเว็บไซต์และพบปัญหานี้เป็นครั้งแรก อาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาปัญหาดังกล่าวอาจไม่เกิดขึ้นอีกในครั้งต่อไป ในขณะที่ผู้ใช้คนที่ 2 เข้ามาใช้งานเว็บไซต์นี้บ่อยครั้ง และยังคงพบปัญหาเช่นนี้เสมอ ในกรณีนี้ระดับความรุนแรงของปัญหาจะอยู่ในระดับสูงทันที เป็นต้น